แนะนำสำหรับใครที่ดูคลิปหนังออนไลน์แล้วสะดุด ให้ลองใช้ google chrome ครับ

google chrome มีคุณสมบัติที่ดีสำหรับนักท่องเว็บครับ เพราะโหลดหน้าเว็บได้เร็ว และ ดูคลิปหนังออนไลน์ได้ดี ไม่สะดุด ลองหามาใช้กันครับ ติดตั้งง่าย และ เร็ว ที่สำคัญฟรีๆไม่มีค่าใช้จ่าย ลองดูคุณสมบัติ google chrome

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

INTEGRA (DC5) กับสไตล์การแต่งไม่เหมือนใครจาก ALPINEการตกแต่งเหมือนออกมาจากภาพยนตร์เรื่อง 2 FAST 2 FU

ในช่วงงานมอเตอร์โชว์เดือนเมษายนที่ผ่านมา ตัวผมเองได้มีโอกาสเข้าชมงาน และได้สะดุดตากับเจ้ารถโชว์เครื่องเสียงคันหนึ่งที่มีดีไซน์ในการตกแต่งเหมือนออกมาจากภาพยนตร์เรื่อง 2 FAST 2 FURIOUS ทำให้อดไม่ได้ที่จะต้องนำเสนอการตกแต่งในรูปแบบนี้มาให้ท่านผู้อ่านได้ชมกันบ้าง
เจ้ารถคันที่เรากล่าวถึงนี้อาจเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเหมือนกัน เพราะเจ้ารถคันนี้เป็น HONDA INTEGRA (DC5) หรือเป็นโฉมล่าสุดของรุ่นนี้ทีเดียว ส่วนที่มาของการนำรถคันนี้มาตกแต่งในรูปแบบนี้ก็เนื่องมาจากทางต้นสังกัดของบริษัท ALPINE ต้องการที่จะทำไว้โชว์เครื่องเสียงในประเทศต่าง ๆ สำหรับภูมิภาคเอเชียโดยเฉพาะ ถ้าหากตัวแทนจำหน่ายในประเทศไหนสนใจ ก็จะติดต่อไปยังต้นสังกัดเพื่อนำไปแสดงกัน เราลองมาดูกันดีกว่านะครับ ว่ารถคันนี้มีอะไรที่โดดเด่นกันบ้าง


ภายนอกเน้นการตกแต่งสไตล์อเมริกัน
ภายนอกของเจ้า INTEGRA TYPE R คันนี้ จากเดิมที่เป็นสีขาว บ่งบอกถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัว ก็ได้ทำการปรับปรุงกันใหม่ด้วยสีสันที่สะดุดตากว่าเดิม โดยเน้นโทนสีฟ้าในรูปแบบการ “แอร์บรัช” (เป็นการทำสีโดยใช้การพ่นทีละส่วนจนออกมาเป็นรูป) เป็นรูปท้องทะเลที่บ่งบอกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งการตกแต่งด้วยสีสันในลักษณะนี้จะเป็นที่นิยมกันมากในอเมริกา โดยเฉพาะกลุ่ม LOW RIDER


เครื่องยนต์เน้นสมรรถนะด้วยระบบ i-VTEC
ภายใต้ฝากระโปรงของเจ้า INTEGRA คันนี้ยังถูกซุกซ่อนด้วยเครื่องยนต์อันทรงพลังกับเทคโนโลยีแบบใหม่ภายใต้ชื่อ “i-VTEC” ในรหัส K20A กับความจุที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 1,800 ซี.ซี. มาเป็น 2,000 ซี.ซี. เราลองมาดูสเป็กเครื่องยนต์ตัวใหม่นี้กันดีกว่าครับ
รหัสเครื่องยนต์ K20A
แบบ 2.0 L DOHC i-VTEC L4
ความกว้างกระบอกสูบ x ระยะชัก (มม.) 86.0 x 86.0
ปริมาตรกระบอกสูบ (ซี.ซี.) 1,998
อัตรส่วนกำลังอัด 11.5 : 1
แรงม้าสูงสุด (PS/rpm) 220/8,000
แรงบิดสูงสุด (kg-m/rpm) 21.0/7,000

ส่วนในของระบบส่งกำลังนั้น ในรุ่น DC5 ได้ทำการปรับปรุงมาเป็นเกียร์แบบ 6 สปีด ที่มีอัตราทดแบบ Close Ratio ซึ่งในส่วนนี้ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นที่สำคัญเมื่อเทียบกับเกียร์แบบ 5 สปีดในรุ่นเก่า สำหรับอัตราทดเกียร์นั้นมีดังนี้
1st 3.266
2nd 2.130
3rd 1.517
4th 1.212
5th 0.972
6th 0.780
Reverse 3.583
Final Gear 4.764

ช่วงล่างแบบใหม่เช่นกัน
สำหรับช่วงล่างนั้นในด้านหน้าและด้านหลังยังคงรูปแบบเดิม คือแมคเฟอร์สันสตรัท และดับเบิลวิชโบน แต่ความพิเศษที่เป็นแบบใหม่ก็คงเป็นช่วงล่างในด้านหน้าได้ใช้ Lower Arm ที่เป็นแบบอะลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนัก นอกจากนี้ก็ยังมีระบบเบรกในด้านหน้าที่เป็นของ BREMBO กับคาลิเปอร์แบบ 4 พอร์ต ทำจากวัสดุอะลูมิเนียม ทำให้เรื่องของระบบเบรก ต่างเป็นที่ยอมรับกันว่ามีคุณภาพที่เชื่อถือได้ ทางด้านล้อนั้นได้ทำการเปลี่ยนใหม่ไปใช้ของ MILE STAR ที่โดดเด่นด้วยการทำสีแบบน้ำเงินอะโนไดซ์ ทำให้ดูแล้วเข้ากับสีของตัวรถอย่างสวยงาม
ภายในโดดเด่นด้วยชุดเครื่องเสียงจาก ALPINE
จุดเด่นอีกอย่างของรถคันนี้อยู่ที่ชุดเครื่องเสียงที่สร้างทั้งคุณภาพและความกระหึ่มของเสียงออกมาได้อย่างสะใจ ในซิสเต็มนั้นจะประกอบไปด้วยตัวฟรอนต์ที่ได้เลือกใช้ของ ALPINE รุ่น IVA-D 900 R ตัวใหม่ล่าสุดของค่ายที่เป็นเครื่องเล่น DVD/CD/MP 3 แบบ 1 แผ่น พร้อมภาครับวิทยุ รวมทั้งยังมีจอมอนิเตอร์ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งจุดเด่นของรายละเอียดและคุณภาพของภาพก็อยู่ที่จอมอนิเตอร์ตัวนี้ เพราะใช้เทคโนโลยี Wide VGA ที่สามารถให้รายละเอียดของภาพสูงถึง 1.15 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ยังได้พ่วงตู้เชนเจอร์ของ ALPINE รุ่น DHA-S 680 E ที่เป็นเชนเจอร์แบบ 6 แผ่น สามารถเล่นได้ทั้งแผ่น DVD/VCD และ CD ในซิสเต็มชุดนี้ได้ต่อผ่านระบบที่เรียกว่า Ai-NET ให้ IVR-D 900 R เป็นตัวควบคุม โดยเจ้าเชนเจอร์เครื่องนี้สามารถอ่านแผ่นได้ทั้งแบบ Dolby Digital และ DTS พร้อมทั้งมีสัญญาณเสียงที่ใช้สายนำแสง Optical Digital


ทางด้านจอมอนิเตอร์ นอกเหนือจากที่ได้แสดงอยู่บนตัวฟรอนต์ IVR-D 900 R ที่อยู่กลางคอนโซลหน้าแล้ว ยังได้ต่อพ่วงเข้ากับจอมอนิเตอร์อีก 3 ตัว ซึ่งมอนิเตอร์ทั้ง 3 ตัวนี้เป็นของ ALPINE รุ่น TME-M 850 ที่มีความใหญ่ของหน้าจอถึง 8 นิ้วและเป็นตัวใหม่ล่าสุดที่ยังไม่มีขายในบ้านเรา มอนิเตอร์ 2 ตัวแรกได้ถูกนำไปติดไว้ตรงกระจกสามเหลี่ยมทางด้านข้างที่อยู่ระหว่างเสา B และ C Pillar เพื่อมุมมองทางด้านข้างทั้งซ้ายและขวา ส่วนอีกตัวจะอยู่ทางด้านท้ายรถที่โชว์ตอนเปิดฝาท้าย
สัญญาณเสียงได้ถูกส่งไปยังตัวถอดรหัส Multimedia Manager และทำหน้าที่เป็นปรีแอมป์รุ่น PXA-H 700 ที่ใช้วงจรแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นอะนาล็อกแบบ 24 Bit/96 kHz โดยใช้ชิปถอดรหัส Burr Brown ระดับ K เกรด ที่มีลูกเล่นต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นวงจรชดเชยเสียงเบส, วงจรครอสโอเวอร์แบบดิจิตอลในตัว, วงจร Bass Focus, วงจร Graphic & Parametric Equalizer ฯลฯ พร้อมกับมีวงจรถอดรหัสทั้ง Dolby Digital, DTS และ Dolby Prologic II


สัญญาณเสียงชุดหน้าได้ถูกส่งไปเข้า MRV-F 540 ที่เป็นเพาเวอร์แอมป์แบบ 4 แชนเนลในตระกูล V 12 มีกำลังขับสูงสุด 90 วัตต์ x 4 แชนเนล ที่ 4 โอห์ม หรือ 100 วัตต์ x 4 แชนเนล ที่ 2 โอห์ม กำลังขับทั้ง 4 แชนเนล ได้ถูกนำไปขับลำโพงแบบแยกชิ้น 2 ทางในซีรี่ส์ DD Linear ที่เป็นอนุกรมล่าสุดที่ยังไม่วางจำหน่ายในบ้านเรา ลำโพงหน้าทั้ง 2 ชุดนี้ได้ถูกนำไปติดไว้ที่ประตูหน้าทั้งหมด ส่วนสัญญาณเสียงชุดหลังและเซ็นเตอร์นั้นก็ได้ถูกส่งไปเข้าเพาเวอร์แอมป์ MRV-F 540 อีกตัวหนึ่ง และก็ได้เลือกใช้ลำโพงในซีรี่ส์ DD Linear อีกเช่นกัน โดยลำโพงที่ขับสัญญาณเสียงเซ็นเตอร์แชนเนลนั้น ได้แยกเอาไปไว้ที่กลางคอนโซลหน้าชุดหนึ่งและเอาไว้ทางด้านบนของจอมอนิเตอร์ทางด้านท้ายอีกชุดหนึ่ง ส่วนลำโพงชุดหลังได้นำไปไว้ทางด้านท้ายเพื่อยิงเสียงออกทางด้านหลัง

ในเรื่องความกระหึ่มของเสียงได้มาจากเพาเวอร์แอมป์ รุ่น MRD-M 500 ที่เป็นเพาเวอร์แอมป์ Class D ในซีรี่ส์ V 12 AccuClass D ที่มีกำลังขับสูงสุด 900 วัตต์ x 1 แชนเนล ที่ 2 โอห์ม หรือ 250 วัตต์ x 1แชนเนล ที่ 4 โอห์ม 14.4 โวลต์ จำนวน 2 ตัว มาขับซับวูฟเฟอร์ขนาด 12 นิ้วแบบวอยซ์คอยล์คู่รุ่น SWR-1221 D ที่อยู่ในซีรี่ส์ TYPE R ที่สามารถทนกำลังขับได้สูงสุดถึง 300 วัตต์ RMS และตอบสนองความถี่ได้ตั้งแต่ 24-1000 Hz ส่วนเสียงเบสอีกชุดก็ได้ใช้ซับวูฟเฟอร์รุ่น SWR-1221 D นี้เช่นกัน แต่ได้เปลี่ยนไปใช้เพาเวอร์แอมป์รุ่น MRD-M 1000 ที่อยู่ในซีรี่ส์ V 12 AccuClass D เช่นกัน แต่มีกำลังขับสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 1600 วัตต์ x 1 แชนเนล ที่ 2 โอห์มหรือ 500 วัตต์ x 1 แชนเนล ที่ 4 โอห์ม 14.4 โวลต์ มาเป็นตัวขับซับวูฟเฟอร์อีก 2 ตัว
จะเห็นได้ว่าเจ้า INTREGA (DC5) คันนี้ เป็นรถที่ถูกตกแต่งในรูปแบบเฉพาะกิจ สำหรับโชว์เครื่องเสียงโดยเฉพาะ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าการตกแต่งรูปแบบนี้ในบ้านเราคงเห็นกันเฉพาะในกลุ่ม LOW RIDER แต่ถ้าเป็นในอเมริกาแล้วละก็ การตกแต่งในรูปแบบนี้จะเป็นที่นิยมมากจริง ๆ ถ้าหากใครสนใจการตกแต่งในลักษณะนี้ก็ลองได้นะครับ ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะเป็นแฟชั่นก็ได้

ยลโฉม การแต่ง NISSAN NX COUPE SR20DE

ยลโฉม การแต่ง NISSAN NX COUPE SR20DE
สองรุ่นที่นำมาให้ชมกันในฉบับนี้ มาพร้อมกับความเปียกปอนท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายตลอดทั้งวัน เล่นเอาช่างภาพของเราโดนหวัดกินซะหลายวัน เอาละ...มาดูรถแต่งที่เรานำมาเสนอในฉบับนี้ เช่นเคยครับ รถที่เรา ๆ ท่าน ๆ ไม่ค่อยจะสนใจหรือนำมาแต่งกันมาก มาเสนอกันอีกเช่นเคย คราวนี้เป็นทีของ MAZDA 626 CRONOS HATCHBACK และ NISSAN NX COUPE ทั้งสองคันได้ติดต่อเข้ามายังกองนิตยสาร Tuned by… เราลองมาชมกันซิว่าทั้งสองคันนี้ มีความแตกต่างจากสแตนดาร์ดแค่ไหน...


ภายนอก เพิ่มชุด BODY KITS รอบคัน


โดยรอบตัวรถมีการสลับสับเปลี่ยนชุดแต่ง BODY KITS เข้าไปใหม่ เริ่มจากตัวกันชนหน้านำของตัวนอก ที่มาพร้อมกับชุดไฟ FOG LAMP สีเหลืองอร่ามมาแทนในตำแหน่งกันชนเดิม โดยตกแต่งบริเวณกรอบรอบโคมไฟคู่หน้าใหม่ให้เล็กลง “ตาตรี่” ต่อจากนั้นด้านข้าง เสริมสเกิร์ตข้างของ VEILSIDE มีช่องดักลมระบายความร้อนให้กับล้อหลัง พร้อมกระจกมองข้างทรงแอโรสไตล์ BOMEX รวมทั้งสเกิร์ตหลังและหางหลังจาก BOMEX ด้วยเช่นกัน


กันชนหน้าตัวนอก เพิ่มชุด BODY KITS รอบคันสไตล์ BOMEX และ VEILSIDE


เกจ์วัด 2 ตัวของ PRO สำหรับ

วัด VOLT และ VACUU


พวงมาลัย MOMO รุ่น MILLENNIUM


ส่วนด้านหลังติดตั้ง SUBWOOFER

ห้องค็อกพิตเดิม ๆ ของ NX COUPE เป็นหนังแท้สีดำที่หุ้มใหม่ ส่วนจุดเด่นของภายในคงจะอยู่ที่มาตรวัดต่าง ๆ จะเป็นแบบ DIGITAL จากโรงงาน เปลี่ยนพวงมาลัยเป็นของ MOMO รุ่น MILLENNIUM หัวเกียร์ LONZA แป้นเหยียบสไตล์ TYPE R และเกจ์วัด 2 ตัว ของ PRO สำหรับวัด VOLT และ VACUUM ส่วนเครื่องเสียง เปลี่ยนฟรอนต์ของ PIONEER DEH-P6550,TV ของ SABA ขนาด 5.6” ซับวูฟเฟอร์ขนาด 10 นิ้ว 1 คู่ จาก CROSSFIRE ลำโพงกลาง-แหลมจาก CROSSFIRE เพาเวอร์แอมป์ DIGITAL RESEARCH

มาดูกันถึงเครื่องยนต์ที่ถูกปรับเปลี่ยนกันบ้าง แต่ก่อนที่จะเข้าสู่เครื่องยนต์ซึ่งโมดิฟายไป เรามาดูSR20DE แคมฯ 260สเป็กเครื่องยนต์เดิมกันก่อน โดยเครื่องยนต์เดิมมีรหัส GA16DE ขนาด 1,596 ซี.ซี. 4 สูบ ขับเคลื่อนล้อหน้า 16 วาล์ว มีขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก เท่ากับ 76 x 88 มม. แรงบิดสูงสุด 15 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที กำลังอัด 9.5 : 1 มีกำลัง 110 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที อัตราทดเฟืองท้าย 4.167 แต่ในปัจจุบันได้เลือกใช้เครื่องยนต์ตัวใหม่รหัส SR20DE เข้ามาแทน มีกำลัง 145 แรงม้า ที่ 6,400 รอบ/นาที พร้อมกับการโมดิฟายในส่วนของท่อนบนด้วยแคมชาฟท์ของ TOMEI ขนาด 260 องศา ลิฟต์ 12 มม. ขยายลิ้นปีกผีเสื้อใหม่ ตัวปรับแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงจาก SARD หัวเทียน NGK เบอร์ 8 แผงรังผึ้งหม้อน้ำจาก SUNNY B14 ชุด VOLT STABILIZER จาก INAZUMA และ GROUND WIRE รังผึ้งหม้อน้ำอะลูมิเนียมขนาดใหญ่ พร้อมพัดลมไฟฟ้า 3 ตัว ส่วนเฮดเดอร์จาก เม้ง เฮดเดอร์ จนถึงหม้อพักไอเสียจาก HKS รุ่น SR โดยมีกล่องควบคุมเดิม โมฯ ROM พร้อมพ่วงด้วยกล่องจาก GREDDY e-MANAGE จูนอัพโดย MACTEC ระบบส่งกำลังเปลี่ยนมาเป็นแบบธรรมดา 5 สปีด จาก SR18DE พร้อมชุดคลัตช์แบบทองแดง ส่วนเพลาขับเคลื่อนเปลี่ยนเป็นของ NISSAN PULSAR









ช่วงล่างปรับแต่งพอประมาณ

ระบบการทำงานของช่วงล่าง ปรับปรุงในบางจุดเพื่อสนองกับความแรงที่เพิ่มขึ้นพอตัว ด้วยโช้คอัพหน้าของ GABRIEL สปริงของ SUNN



REGUTOR
ชุด SARD


หม้อพักไอเสียสเตนเลสเพิ่ม
แรงม้าจาก HKS รุ่น SR


ชุด VOLT STABILIZER จาก INAZUMA และ GROUND WIRE

Y B14 ตัดแต่งใหม่ ค้ำโช้คหน้าHURRICANE ระบบเบรกหน้า เป็นชุดดิสก์เบรกขอล้อแม็กของ KENKIN ขนาด 17 x 7.5 นิ้ว พร้อมกับยาง VENTUS K102 ขนาด 205/45 ZR17ง BLUEBIRD หลัง B14 ส่วนล้อแม็กขยายไซส์ใหม่เป็นของ LENSO รุ่น KENKIN ขนาด 17 x 7.5 นิ้ว พร้อมกับยาง VENTUS K102 ขนาด 205/45 ZR17



วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

แต่ง JAZZ เซ็ตเทอร์โบ แบบบ้าพลัง

แต่ง JAZZ เซ็ตเทอร์โบ แบบบ้าพลัง

เรื่องราวความร้อนแรงของ HONDA JAZZ ยังคงอยู่ในกระแสความนิยมของกลุ่มวัยรุ่น ด้วยรูปทรงของรถที่เล็กกะทัดรัด บวกกับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ค่อนข้างต่ำ เหมาะสมกับเศรษฐกิจในยุคน้ำมันแพง แต่ความประหยัดนั้น ถึงแม้เป็นความต้องการของคนส่วนมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นที่ต้องการของทุกคนไป แต่ความแรงนี่ซิ เป็นที่ถวิลหาของกลุ่มวัยรุ่นมากกว่า ทำให้ทางออกที่นำมาช่วยเพิ่มพลังเครื่องยนต์ของ JAZZ คันนี้ จึงต้องลงเอยด้วยการเซ็ตเทอร์โบ แต่เพื่อไม่ให้เสียเวลา เราลองมาดูกันดีกว่าครับว่า เจ้ารถ JAZZ คันนี้ คุณวิชัยจาก "VICHAI KARNCHANG" เขาได้ทำอะไรไปบ้าง


ภายนอกเสริมหล่อด้วยชุดพาร์ทลายคาร์บอน





เริ่มต้นขั้นตอนการแต่ง JAZZ ให้ดูทันสมัย หลายคนมองกันที่ภายนอก เพราะภายนอกเป็นสิ่งที่สามารถดึงดูดสายตาผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ทางคุณวิชัยจึงทำการเสริมหล่อให้กับภายนอกด้วยชุดแต่งฝีมือ TESTU ประกอบด้วย ฝากระโปรงหน้าที่มีช่องระบายความร้อนและเคลือบไว้ด้วยลายคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งฝากระโปรงดังกล่าว นอกจากความสวยงามแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่เบาและเหนียวอีกด้วย ถัดไปด้านล่างใต้กันชนหน้าได้ทำการติดตั้งสเกิร์ตหน้าเคลือบลายคาร์บอน ส่วนบริเวณมุมกันชนก็มีอุปกรณ์ที่มักเห็นกันในรถสปอร์ต นั่นคือ SIDE CANARD ขยับมาบริเวณด้านข้างก็จะพบกับสเกิร์ตข้างที่เคลือบด้วยลายคาร์บอนเช่นกัน แต่ความโดดเด่นอีกอย่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะคงหนีไม่พ้นกระจกมองข้าง SPOON เคลือบลายคาร์บอน พร้อมตัวกระจกแบบตัดแสง สุดท้ายบริเวณด้านหลังได้ทำการติดตั้งสปอยเลอร์ SPOON ลายคาร์บอน, สเกิร์ตหลังเคลือบลายคาร์บอน และแผงกลางที่ฝากระโปรงหลังเคลือบลายคาร์บอนสไตล์ MUGEN


SIDE CANARD ช่วยให้
JAZZ ดูสะดุดตามากขึ้น

ฝากระโปรงไฟเบอร์ให้ทั้ง
ความเบาและความสวย

กระจกมองข้าง SPOON อาจดูไม่คุ้นเมื่อติดตั้งกับ JAZZ







L15A เล่นแรงด้วย TURBO


L15A จับมาเพิ่มความแรงด้วยเทอร์โบ

จุดประสงค์หลักในการทำรถคันนี้คงต้องยกให้เครื่องยนต์ที่มีพละกำลังรุนแรงมากกว่าเดิม ด้วยการโมดิฟายจากคุณวิชัย ที่สร้างชื่อในวงการมานานจนเป็นที่รู้จักของหลายคน เมื่อต้องหันมาทำรถของตัวเอง เลยต้องแสดงฝีมือกันหน่อย ดังนั้นเจ้าเครื่อง L15 A ที่ประจำการอยู่ใน JAZZ จึงต้องถูกโมดิฟายเพิ่มพลังกันใหม่ด้วยการนำไปเซ็ตเทอร์โบ ซึ่งขั้นตอนการทำนั้นก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชิ้นส่วนภายในตัวเครื่องยนต์เลย อ๋อ! เกือบลืมบอกไปครับ ว่าคราวนี้เป็นสเต็ปใหม่ต่างจากของเดิมที่เคยลงไปแล้วในนิตยสาร JAZZ TUNING GUIDE


จ่ายน้ำมันเพิ่มด้วยหัวฉีดเสริมขนาด 550 ซี.ซี.

โบว์ออฟวาล์วเลือกใช้ของ GREDDY

การเซ็ตเทอร์โบได้เริ่มต้นด้วยการหาเทอร์โบที่มีขนาดเหมาะสมกับเครื่องยนต์มาใช้ ซึ่งเป็นเทอร์โบ GARRETT GT20 พร้อมเวสต์เกตกระป๋องทำหน้าที่ควบคุมแรงดันเทอร์โบ ก่อนจะส่งผ่านแรงดันเข้าสู่เครื่องยนต์ ซึ่งมีชุดอินเตอร์คูลเลอร์ของ GARRETT ทำหน้าที่ลดอุณหภูมิไอดี นอกจากนี้ยังทำการติดตั้งอุปกรณ์จำเป็นสำหรับเครื่องยนต์ที่ติดตั้งเทอร์โบอย่างตัวโบล์วออฟวาล์ว GREDDY ที่ช่วยระบายแรงดันย้อนกลับภายในท่อไอดี


โบว์ออฟวาล์วเลือกใช้ของ GREDDY

สำหรับอุปกรณ์อีกชิ้นที่มีความสำคัญเช่นกัน เพราะมีส่วนช่วยในการลดอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง นั่นคือ ออยล์คูลเลอร์ของ GREDDY ซึ่งการติดตั้งก็ง่ายนิดเดียว เพราะในชุดจะมีตัวอะแดปเตอร์ติดตั้งในตำแหน่งกรองน้ำมันเครื่อง พร้อมกับสายถักแบบทนแรงดันสูงติดตั้งเข้ากับแผงออยล์คูลเลอร์ที่วางไว้ด้านหน้าบริเวณหลังกันชน



ชุดท่อไอเสียเป็นสแตนเลสทั้งเส้น ส่วนหม้อพักปลายใช้วัสดุไททาเนียมน้ำหนักเบา

ระบบไอเสียทำการขยายท่อไอเสียใหม่เป็นขนาด 3 นิ้ว พร้อมกับนำหม้อพักใบกลางของ HKS ที่ทำมาจากวัสดุไทเทเนียมจากรถ 200SX มาแปลงใส่เป็นหม้อพักใบหลัง ส่วนระบบน้ำมันเชื้อเพลิงได้จัดการเพิ่มหัวฉีดเสริมขนาด 550 ซี.ซี.เข้าไป โดยหัวฉีดที่ว่านี้ถูกฝังอยู่ที่ท่อทางเดินไอดี นอกจากนี้ระบบจุดระเบิดได้ทำการเปลี่ยนหัวเทียนไปใช้ของ NGK PLATINUM เบอร์ 8 เพื่อป้องกันหัวเทียนละลาย ในขณะที่ได้รับความร้อนสูงจากห้องเผาไหม้ 37,38 กล่อง PIGGY BACK ถูกเปลี่ยนจาก HKS มาเป็น HALTECH

กล่อง ECU ลงตัวกับ HALTECH

องค์ประกอบสำคัญที่สุดสำหรับเครื่องยนต์โมดิฟายคงไม่ได้มีแค่เพียงการติดตั้งอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์เท่านั้น แต่ปัจจัยหลักที่สำคัญกว่าคือการจูนอัพ ว่าจะต้องทำอย่างไร เครื่องยนต์ที่โมดิฟายเพิ่มเติมเข้าไปถึงแสดงประสิทธิภาพสูงสุดออกมาได้



ชุดท่อไอเสียเป็นสแตนเลสทั้งเส้น ส่วนหม้อพักปลายใช้วัสดุไททาเนียมน้ำหนักเบา

ทางเลือกของการจูนอัพเครื่องยนต์ คงหนีไม่พ้นการใช้กล่อง ECU ที่สามารถปรับเปลี่ยนโปรแกรมได้ แต่การเลือกใช้กล่องประเภทนี้ก็มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือกล่องแบบ STAND ALONE (กล่องที่เปลี่ยนเข้าไปแทนของเดิม เป็นการรับสัญญาณมาประมวลผลเอง) หรือกล่องแบบ PIGGY BACK (กล่องที่ต้องพ่วงเข้ากับกล่องเดิม เป็นการต่อคร่อมเพื่อรับสัญญาณหลอกกล่องเดิม)

สำหรับ JAZZ ของคุณวิชัย ช่วงแรกที่ทำการเซ็ตเทอร์โบใหม่ ๆจะเลือกใช้กล่อง PIGGY BACK ของ GREDDY e-MANAGE ซึ่งนำมาใช้ควบคุมการสั่งจ่ายน้ำมันทั้งหัวฉีดหลักและหัวฉีดเสริม อีกทั้งระบบไฟจุดระเบิดที่สามารถปรับตั้งได้ทั้ง RETARD และ ADVANCE


กันขนด้านหน้าเป็นที่อยู่ของออยล์
คูลเลอร์และอินเตอร์คูลเลอร์

อแด๊ปเตอร์ที่ต่อออยคูลเลอร์แยก
ออกมาจากกรองน้ำมันเครื่อง

ต่อมาก็ได้ทำการเปลี่ยนไปใช้กล่อง F-CON S ของ HKS อยู่อีกระยะหนึ่ง ซึ่งก็ยังคงเป็นกล่องประเภท PIGGY BACK อยู่ดี แต่ข้อดีของกล่องรุ่นนี้คือ สามารถควบคุมระบบไฟจุดระเบิดได้แม่นยำกว่า e-MANAGE แต่ปัจจุบันกล่องทั้งสองยี่ห้อนี้ก็ได้มีพัฒนาการที่เปลี่ยนไปกับ OPTION ใหม่ที่น่าใช้กว่าเดิม โดยกล่องของ HKS จะเป็นรุ่น F-CON SZ ส่วนของ GREDDY จะเป็นรุ่น ULTIMATE


จนล่าสุดคุณวิชัยก็หันมาลงตัวกับกล่องของ HALTECH รุ่น INTERCEPTER ซึ่งมีข้อดีตรง OPTION ที่ติดมามีให้เลือกใช้มากมาย เช่น ควบคุมหัวฉีดหลักและหัวฉีดเสริม, มีปรับบูสต์ไฟฟ้าในตัว เป็นต้น นอกจากนี้ในเรื่องของสัญญาณไฟจุดระเบิดก็ทำได้แม่นยำกว่าเดิม เพราะรับสัญญาณมาจากแคร็งค์เซ็นเซอร์ (กล่อง PIGGY BACK ทั่วไปมักจะรับสัญญาณจากคอยล์) ซึ่งจุดเด่นของกล่องรุ่นนี้พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ รับสัญญาณบางส่วนมาประมวลผลเอง ต่างกับบางรุ่นที่นำสัญญาณจากเซ็นเซอร์เดิมมาต่อคร่อมเพื่อหลอกกล่อง

จากเกียร์ CVT กลายเป็นเกียร์ธรรมดา

ครั้งแรกที่ทำการเซ็ตเทอร์โบใน JAZZ คันนี้ ของเดิมระบบเกียร์เป็นแบบอัตโนมัติ CVT 7 SPEED แต่ด้วยความแรงของเครื่องยนต์ที่มากขึ้นกว่าเดิม เลยกลัวว่าเกียร์จะรับไม่ไหว ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงได้เปลี่ยนไปใช้เกียร์ธรรมดา ซึ่งเจ้าเกียร์ธรรมดาชุดที่ใส่เข้าไปนี้ได้ทำการปรับปรุงชุดคลัตช์ใหม่ ด้วยการนำของ OS GIKEN แบบ TWIN PLATE มาใช้ โดยเจ้าชุดคลัตช์ที่นำมาใช้นี้เป็นของเครื่อง D15B

ช่วงล่างเล่นแบบครบ ๆ

เมื่อเครื่องยนต์ได้รับการโมดิฟายเพิ่มความแรงกันไปแล้ว ก็ต้องหันมาทำช่วงล่างให้มีสมรรถนะที่ดีกว่าเดิม ด้วยการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงในส่วนประกอบหลัก ๆ ซึ่งในคันนี้ได้เริ่มต้นด้วยการหันไปคบหากับชุดโช้คอัพแบบปรับความหนืดได้พร้อมชุดสปริงโหลด ซึ่งทั้งชุดเป็นของ E-SPEC ต่อจากนั้นก็ทำการเพิ่มเหล็กค้ำโช้คของ CUSCO เข้าไปในด้านหน้า ส่วนด้านล่างได้จัดการเพิ่ม LOWER ARM เข้าไปด้วย ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ที่ทำการปรับปรุงในช่วงล่างด้านหน้ายังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังได้จัดการเปลี่ยนไปใช้ลูกหมากเหล็กกันโคลงแบบปรับได้ (ช่วยปรับให้เหล็กกันโคลงมีค่า K ที่แข็งขึ้น)



ล้อ W-WORK รุ่น MEISTER SZR ส่วนเบรกเป็นของ AP RACING

ในส่วนของล้อ ได้เลือกใช้ล้อ W-WORK รุ่น MEISTER SZR ขอบ 17 นิ้ว พร้อมยาง YOKOHAMA ขนาด 215/45 ZR17 ทางด้านระบบเบรกได้จัดการการเปลี่ยนไปใช้ระบบเบรกสมรรถนะสูงกว่าเดิม โดยชุดเบรกหน้าได้เลือกใช้คาลิเปอร์ 4 พอร์ต ของ AP RACING กับจานเบรก MUGEN ส่วนด้านหลังเปลี่ยนไปใช้คาลิเปอร์ AP RACING พร้อมจานเบรก MUGEN เช่นกัน












ภายในไม่เน้นอุปกรณ์


คราวนี้ก็มาถึงภายในห้องโดยสารกันบ้าง ซึ่งตรงจุดนี้หลายคนให้ความสำคัญไม่ใช่น้อย อย่างพวกเกจ์วัดที่มักจะประโคมใส่กันเข้าไป แต่ถามว่าดูกันหมดไหม ก็ตอบไม่ได้ แต่ในคันนี้ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะพี่วิชัยได้ทำการติดตั้งจอมอนิเตอร์ของ BLITZ รุ่น R-VIT Type I ซึ่งสามารถแสดงค่าการทำงานต่าง ๆ ออกมาได้หลายอย่าง เช่น รอบการทำงานของเครื่องยนต์, ความเร็ว, อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น, อุณหภูมิไอดี, แรงดันภายในท่อร่วมไอดี และองศาไฟจุระเบิด แต่เห็นฟังก์ชันการทำงานเยอะขนาดนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าการต่อจะต้องมีสายหรือเซ็นเซอร์วุ่นวาย เพราะการต่อทำได้ง่าย เพียงแค่ต่อสายเข้ากับปลั๊ก OBD II เพื่อรับสัญญาณเข้าเครื่องเท่านั้นเอง

นอกจากจอมอนิเตอร์ที่ว่านี้ สิ่งที่ทำการเปลี่ยนก็คงหนีไม่พ้นเบาะแบบ BUCKET SEAT ที่นิยมกัน ซึ่งใน JAZZ คันนี้ได้ทำการเปลี่ยนไปใช้เบาะของ MUGEN ส่วนพวงมาลัย ถึงแม้ของเก่าจะเป็นพวงมาลัยที่มี AIR BAG อยู่แล้ว แต่เพื่อให้ดูสปอร์ตมากกว่าเดิม จึงได้ทำการเปลี่ยนไปใช้พวงมาลัยของ INTREGRA (DC5) ส่วนหัวเกียร์ก็ถูกเปลี่ยนให้ดูดีขึ้นด้วยหัวเกียร์ MOMO

จากข้อมูลที่นำเสนอไปจะเห็นได้ว่า HONDA JAZZ ของคุณวิชัยจาก VICHAI KARNCHANG มีการปรับเซ็ตเครื่องยนต์ได้อย่างลงตัว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเรียนรู้ที่จะนำอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีความเหมาะสมกับเครื่องยนต์มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นตัวเทอร์โบ หรือการเซ็ตกำลังอัดของเครื่องยนต์ ซึ่งในครั้งที่แล้วได้ทำการลดกำลังอัดเครื่องยนต์ แต่ในครั้งนี้กลับทำเข้าสู่สภาพเดิม เหตุผลสืบเนื่องมาจากคุณวิชัยได้ทำการทดลองจนรู้ถึงความเหมาะสมในการใช้งาน อีกทั้งข้อดี-ข้อเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้นอกจากการเซ็ตเครื่องยนต์ให้ลงตัวแล้ว การจูนเครื่องยนต์ให้เหมาะสมก็ยังเป็นอีกส่วนประกอบที่สำคัญอีกด้วย เพราะถ้าทุกอย่างทำได้สมดุลกัน สมรรถนะที่เครื่องยนต์แสดงประสิทธิภาพออกมาก็จะทำได้อย่างเต็มที่ และไม่เกิดปัญหาขึ้นภายหลัง จุดนี้เองทำให้คุณวิชัยจึงเปลี่ยนแปลงวิธีการทำรถคันนี้เพื่อทดลองและทดสอบหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อจะถ่ายทอดสู่รถลูกค้า